top of page

ROAS คืออะไร เปรียบเทียบกับ ROI อะไรดีกว่ากัน ?


สำหรับนักการตลาดออนไลน์ ตัวเลขที่หลายคนให้ความสำคัญคือการวัดผลจากต้นทุนการโฆษณาเป็นสำคัญ หรือเรียกว่า "Cost-Base Measurement" ทำให้พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ มักจะพูดคุยติดปากกันว่า "คลิกละกี่บาท" "Inbox ละกี่บาท" ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไร ถ้าเราจะวิเคราะห์ข้อมูลในเบื้องต้นเรื่องการโฆษณา


แต่สำหรับผู้ประกอบการแล้ว มีตัวเลขอีก 2 ตัวที่น่าจะให้ความสนใจไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ คือการมองภาพรวมของธุรกิจ นั่นคือ ROI หรือ Return on Investment และอีกตัวหนึ่งที่ผู้ประกอบการอาจจะไม่คุ้นเคยกัน คือ ROAS หรือ Return on Advertising Spend


สำหรับพ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการออนไลน์ มันจะนำมาพิจารณา คือ ROAS มากกว่า ROI เพราะจะเป็นการดูที่การโฆษณา และโฟกัสที่แคมเปญโฆษณานั้นๆ เป็นสำคัญ ในขณะที่ ROI จะดูมูลค่าอย่างอื่นๆด้วย เช่นต้นทุน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ใช่เงินโฆษณาอย่างเดียว อย่างไร นักการตลาดออนไลน์มักจะเรียก ROAS ว่า ROI ติดปากไปแล้ว (แต่ให้รู้ว่ามันคืออันเดียวกันครับ)


แล้ว ROAS คืออะไร คิดจากอะไร ?


ROAS คือการดูว่าการลงทุนในโฆษณา / จ่ายเงินโฆษณา นั้นสร้างผลลัพธ์กลับมาอย่างไรให้กับธุรกิจ โดยเป็นการเทียบกับมูลค่าของยอดขายที่เกิดจากเงินโฆษณาอันนั้นไป


การคิด ROAS คิดง่ายๆ คือ


"จำนวนรายรับที่เกิดจาก Campaign หารด้วย จำนวนเงินที่ลงไปในการทำโฆษณาแคมเปญ"


Income / Ads Cost = ROAS หรือจะหมายความว่าลงเงินค่าโฆษณาไปจะได้เป็นยอดขายกี่เท่า

แล้วรู้ไปจะได้อะไร ?


การคิด ROAS มีความสำคัญในแง่การวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ประกอบการที่ทำให้เห็นภาพรวมการลงทุน หรือค่าใช้จ่ายโฆษณา ที่ออกไปว่าสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์เป็นยอดขายได้เท่าไหร่ คุ้มกับเงินโฆษณาไหม ถ้า ROAS สูง ย่อมเป็นผลดีของธุรกิจ อย่างไรก็ตามค่า ROAS เป็นเพียงค่าเบื้องต้นที่ไม่ได้คิดต้นทุนอย่างอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นแค่ค่ากว้างๆ ที่ดูยอดขายเทียบกับค่าโฆษณาเท่านั้น


และจากประสบการณ์ในการทำตลาดออนไลน์ ค่า ROAS ในทางออนไลน์จะมีค่าใกล้เคียงกันในแต่ละธุรกิจ แต่จะแตกต่างกันมากในธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน เช่น ธุรกิจทั่วไป สินค้าสมุนไพร แชมพู สบู่ ยาสระผม หรือเสื้อผ้า จะได้ค่า ROAS อยู่ประมาณ 3-4 เท่า


นั่นคือ ถ้าเราลงโฆษณา 10,000 บาท เราจะขายได้ 30,000-40,000 บาท (ยอดขายนะไม่ใช่กำไร) แต่ถ้า ใครที่ลงโฆษณาเก่ง เลือกกลุ่มเป้าหมายเก่ง และมีเทคนิคโฆษณาที่ดี ที่แอดวานซ์กว่าคนอื่น อาจจะทำให้ค่า ROAS มากกว่า 5 เท่าก็เป็นไปได้


แต่สินค้าบางอย่างที่มีราคาสูง อาจจะทำให้ได้ค่า ROAS ที่สูงกว่า 10 เท่าก็มีครับ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น


ฉนั้น ในเบื้องต้น เราควรเทสตลาด เป็นอันดับแรก ด้วยเงินทุนโฆษณา ไม่ต้องเยอะมาก เพื่อหาค่า ROAS ของสินค้าเราที่แน่นอน แล้วค่อยขยายทุนโฆษณาเพิ่ม จะได้สามารถเทียบเป็นยอดขายจากเงินโฆษณาที่ค่อนข้างแม่นยำได้จริงครับ


อ.โหน่ง อลงกรณ์

Comments


2.png

Digital Advertising Articles

Content Marketing Articles

Digital Marketing Trends Articles

bottom of page