การซื้อของออนไลน์เป็น mega trend ที่เกิดขึ้นมาในเวลาไม่นาน และมีการเติบโตมากกว่า 20% และมีอัตราการซื้อของบนโลกออนไลน์ในประเทศไทยมากกว่า 56% แล้วในปี 2018
เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวให้พร้อมในปี 2020 นี้ เรามีเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่จะเปลี่ยนการซื้อของออนไลน์ของคนไทย 7 เทรนด์ ไปติดตามกันเลยครับ..

Trend 1 : Augmented Reality & Artificial Intelligence Shopping Expands

เมื่อร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเปิดตัว Reality Tool 3D ที่ให้ลูกค้าสามารถนำเฟอร์นิเจอร์ในร้านค้า มาตกแต่งในบ้านของตนเองผ่าน Mobile Application ในปี 2018 เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานแบบ AR (Augmented Reality) หรือการผสมผสานภาพจริงและภาพเสมือน
เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ของนักช็อบ ที่สามารถเข้าถึงสินค้าผ่านระบบดิจิตอลได้มากขึ้น
ในปลายปี 2019 ธุรกิจเครื่องสำอางค์ Makeup โดย L'Oraeal ได้มีการนำเทคโนโลยี AR มาใช้งานจริงในการทำการตลาด โดยเปิดตัวแคมเปญ L’Oreal announced the expansion of their new virtual try-on service ขยายความสามารถในการขายลิปติก โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกสีลิปติกที่ชอบ และทดลองทาบบนริมฝีปากของตนเอง เสมือนไปทดลองทาจริงที่ Counter ในห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว แล้วทำไม คนจะไม่ซื้อผ่านทางออนไลน์ล่ะ ถ้าเทคโนโลยีสามารถทำได้ขนาดนี้แล้ว ยอดขายออนไลน์พุ่งแน่นอน
เทรนด์ AR & AI นี้มาแรงแน่นอน และพร้อมจะขยายไปสู่ธุรกิจอื่นอีกหลายหลากธุรกิจเลย อาทิ เครื่องประดับ เสื้อผ้า เป็นต้น
Trend 2 : Buy Online Pick Up in-Store (BOPIS)
ปัญหาของการซื้อของผ่านออนไลน์ คือ จำเป็นต้องรอสินค้ามาส่งที่บ้าน แม้ระบบการขนส่ง จะมีหลากหลายเจ้า ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ที่ให้บริการอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยจากระบบขนส่งทำให้ต้องรอสินค้าอย่างน้อย 1-2 วัน ทำให้เป็นปัญหาของลูกค้าหลายคนที่ไม่อยากรอสินค้า แต่ก็ไม่มีเวลาไปเลือกซื้อสินค้าในร้านค้าเอง BOPIS หรือ Buy Online Pick Up in-Store เป็นระบบที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ และเป็นการช่วยร้านค้าปลีก ให้สามารถเข้าสู่ระบบดิจิตอล โดยเป็นการส่งเสริมหน้าร้านอีกวิธีหนึ่ง

โดยในปี 2019 มีรายงานการเติบโตของยอดขายจากร้านค้าออนไลน์ อาทิ Home Depot ซึงถือเป็นร้านค้าวัสดุอุปกรณ์ ตกแต่งบ้านขนาดใหญ่ของ สหรัฐอเมริกา มีอัตราการเติบโตของยอดขายออนไลน์กว่า 24% โดยเป็นการซื้อในระบบ BOPIS คือซื้อผ่านเวปไซด์ของบริษัท Home Depot และไปรับสินค้าใน shop ใกล้บ้าน ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากถึง 94%
BOPIS ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก ในปี 2020 สำหรับร้านค้าปลีก เพราะเป็นการต่อยอดสู่ Omni-Channel Strategy ที่จับต้องได้ และสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน
Trend 3 : Conversational Search Win on Overload Information

เมื่อการค้าขายออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีข้อมูลสินค้าเป็นจำนวนมากอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้ผู้บริโภค ตัดสินใจเลือกซื้อของผ่านออนไลน์ ใช้เวลามากขึ้น หรือเลื่อนการตัดสินใจซื้อออกไป เพราะข้อมูลที่มากจนเกินไป (consumers experience choice overload)
สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้บริโภค นักช็อป คือ การช่วยเหลือ แนะนำของร้านค้า หรือแบรนด์สินค้าในการเลือกค้นหา ให้แคบลง (narrow search) เพื่อให้ได้ข้อมูลในการตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น Conversation Search หรือการค้นหาบทสนทนา เป็นสิ่งสำคัญและเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 โดยแบรนด์สินค้า หรือร้านค้าออนไลน์ จะใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence) สร้างเนื้อหาที่ตอบรับจาก การค้นหา Conversational Search เพื่อสร้างประสบการณ์ และนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ตรงตามความต้องการให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง และรวดเร็วขึ้น
Trend 4 : Voice Search Optimization (VSO)

จากรายงาน Marketing Survey ในประเทศสหรัฐ อเมริกา โดย Branze and e-Marketer พบว่านักช็อป 4 ใน 10 คนใช้การค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search ในการเลือกดูสินค้าใน Search Engine
สิ่งที่แบรนด์และร้านค้าออนไลน์ จำเป็นต้องทำคือ การปรับเปลี่ยน Product Information ที่อยู่บนเวปไซด์ หรือบลอค หรือโซเชียล มีเดียของตนเอง ให้เป็นภาษาคน (Human Language) ที่สอดคล้องกับการค้นหาแบบ Voice Search (การค้นหาแบบ Voice Search กับ Type Search ผลการค้นหาจะแตกต่างกัน) ดังนั้นผู้ประกอบการ แบรนด์สินค้า และร้านค้า จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาในเชิงลึกเรื่อง VSO (Voice Search Optimization) ที่ไปไกลกว่าแค่ SEO (Search Engine Optimization)
Trend 5 : The Direct-to-Customer (D2C) and Online-to-Offline (O2O)

ร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ จะขยายธุรกิจไปเปิดหน้าร้านแบบ Offline-Store ในขณะที่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม จะปิดหน้าร้านไปขายแบบออนไลน์อย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่จะต้องเปิดร้านค้าแบบมีหน้าร้านหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การเข้าถึงลูกค้า ให้ลูกค้ามีประสบการณ์ มีปฏิสัมพันธ์ กับเราให้มากที่สุด และการทำให้เกิด Engagement หรือปฏิสัมพันธ์ได้มากที่สุด ไม่ใช่ออนไลน์ แต่คือหน้าร้านที่ทำให้เกิด Customer Touch Point กับลูกค้าได้มากที่สุด หรือที่เค้าเรียนรวมๆว่า Direct-to-Customer (D2C)
คาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีร้านค้าปลีก ที่เริ่มต้นจากร้านค้าออนไลน์ และขยายไปสู่การเปิดหน้าร้านเองมากกว่า 500 แบรนด์
Trend 6 : High Growth Social Commerce
การเติบโตของการซื้อของบน Social Media Platform ที่เรียกว่า Social Commerce เติบโดอย่างมากในปี 2019 และจะโตมากขึ้นอีกในปี 2020 โดยเฉพาะในประเทศไทย แม้ว่าความน่าเชื่อถือของ เฟสบุ๊คเพจ อินสตาแกรม เพจ จะน้อยกว่าเวปไซด์ แต่เพราะความรวดเร็ว และการสร้าง Engagement ที่น่าสนใจ ทำให้คนเปิดใจและสั่งซื้อผ่านช่องทาง Social Media ได้อย่างง่ายๆ และยิ่งปัจจุบัน การพัฒนาของ AR และ AI ทำให้ความน่าสนใจของ Social Media Commerce เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า อาทิ Instagram กำลังพัฒนา ทดสอบ Virtual Social Commerce (Instagram is beta-testing the virtual try on capabilities with brands like MAC, Nars, Ray-Ban)

ที่มา : Instagram's Now Testing New AR 'Try On' Ads with Selected Advertisers
โดยในเบื้องต้น การทดลองนี้ใช้สำหรับการโฆษณารูปแบบใหม่ ที่ใช้ AR มาแสดงผลให้ลูกค้าสามารถทดลองเอาสินค้ามาสวมใส่บน IG App ได้ทันที ไม่ต้องโหลด Mobile Application เพิ่มเติมแต่อย่างใด
และสำหรับ Facebook ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน ก็ไม่น้อยหน้า มีเวอร์ชั่นบน Facebook เรียบร้อยแล้ว (แต่น่าจะเป็นเฉพาะในประเทศสหรัฐ อเมริกา ที่ได้ทดลองใช้ก่อนเท่านั้น)

Trend 7: Customer-First Strategy Wins Every Time
และสำหรับเทรนด์สุดท้าย ที่จะขับเคลื่อนการค้าขายออนไลน์ และเป็นศูนย์กลางของทุกๆเทรนด์ นั่นคือ Customer-Centric หรือการที่ต้องเอาผู้บริโภค ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

ท่ามกลางข้อมูลสินค้า ทางเลือกอันมหาศาล ลูกค้าในยุค 2020 จะเริ่มกลับมาเกิดความภักดี (Loyalty) กับแบรนด์ หรือร้านค้าที่ให้ความสนใจและเข้าใจพวกเค้าอย่างแท้จริง ลูกค้าในยุค 2020 ต้องการให้แนะนำ สินค้าที่เหมาะกับพวกเค้าจริงๆ และต้องหาเจอในทุกเวลา ทุกสถานที่ที่ค้นหาข้อมูล ทั้งรูปแบบการพิมพ์ค้นหา และการใช้เสียงค้นหา
ซึ่งนั่นคือแนวทางสำหรับ กลยุทธ์การตลาดในปี 2020 - All New Marketing Strategy 2020

Comments